คดีทักษิณชั้น 14 ศาลฎีกา เริ่มไต่สวน 5 หมอ ทนายเตรียมประวัติการรักษายื่น
คดีทักษิณชั้น 14 ศาลฎีกา เริ่มไต่สวนพยานกลุ่มแพทย์ 5 ปาก ด้านทนายนายกฯ เตรียมประวัติการรักษายื่น ขณะที่ นพ.วรงค์ ร่วมฟังไต่สวน ชี้เคยมีแทรกแซงยุติธรรม ป.ป.ช.เข้าศาลพร้อมเอกสาร
วันที่ 4 ก.ค. 68 ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดไต่สวนคดีหมายเลขดำที่ บค.1/2568 เรื่องการบังคับโทษจำคุกนายทักษิณ ชินวัตร จำเลยในคดีหมายเลขแดงที่ อม.4/2551, คดีหมายเลขแดงที่ อม.10/2552, คดีหมายเลขแดงที่ อม.5/2551 เพื่อหาข้อเท็จจริงในการบังคับโทษคดีถึงที่สุดกับนายทักษิณว่า เป็นไปตามผลคำพิพากษาของศาลฎีกาหรือไม่
โดยก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 13 มิ.ย. ศาลได้ไต่สวน นายมานพ ชมชื่น ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เกี่ยวข้อเท็จจริงในขั้นตอนของการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษานอกเรือนจำ ต่อมาศาลฎีกาฯ นัดไต่สวนพยานอีก 20 ปาก โดยวันนี้จะเป็นการไต่สวนพยานที่เป็นกลุ่มแพทย์ พยาบาล จำนวน 5 ปาก เช่นพยาบาลในสถานพยาบาลเรือนจำพิเศษกรุงเทพ ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ โรงพยาบาลตำรวจ ในจำนวนนี้มี พญ.รวมทิพย์ สุภานันท์ แพทย์ประจำโรงพยาบาลตำรวจ และ นพ.ณัฐพร แพทย์ประจำโรงพยาบาลราชทัณฑ์ รวมถึงพยาบาลประจำสถานพยาบาลราชทัณฑ์ 1 คน
นัดนี้มี ป.ป.ช. ในฐานะโจทก์ มีนายสุรพงษ์ อินทรถาวร รองเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. มาพร้อมกับเอกสารใส่ในกระเป๋าลาก เพื่อเข้าชี้แจงต่อศาล
ขณะที่ นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความของนายทักษิณ กล่าวว่า ประวัติการรักษาต่างประเทศเป็นข้อมูลเจ็บป่วยถือเป็นความลับ เป็นข้อมูลที่ได้รับความคุ้มครอง และนายทักษิณสงวนสิทธิ แต่เป็นประเด็นที่ศาลอยากรู้ว่าเจ็บป่วยจริงหรือไม่ หรือเป็นการอ้างเลื่อนลอยตนจึงได้เตรียมประวัติการรักษาต่างประเทศเสนอต่อศาลด้วย นอกเหนือจากประวัติการรักษาของราชทัณฑ์ เพราะไม่มั่นใจว่าราชทัณฑ์เตรียมเอกสารประวัติการรักษาสมบูรณ์หรือไม่ และเพื่อไม่ให้เกิดความเคลือบแคลงสงสัย ทั้งนี้ได้เตรียมบัญชีพยานไว้ 4 ปาก แต่ยังไม่ทราบว่าศาลจะอนุญาตหรือไม่
วันที่ 4 ก.ค. 68 ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดไต่สวนคดีหมายเลขดำที่ บค.1/2568 เรื่องการบังคับโทษจำคุกนายทักษิณ ชินวัตร จำเลยในคดีหมายเลขแดงที่ อม.4/2551, คดีหมายเลขแดงที่ อม.10/2552, คดีหมายเลขแดงที่ อม.5/2551 เพื่อหาข้อเท็จจริงในการบังคับโทษคดีถึงที่สุดกับนายทักษิณว่า เป็นไปตามผลคำพิพากษาของศาลฎีกาหรือไม่
โดยก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 13 มิ.ย. ศาลได้ไต่สวน นายมานพ ชมชื่น ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เกี่ยวข้อเท็จจริงในขั้นตอนของการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษานอกเรือนจำ ต่อมาศาลฎีกาฯ นัดไต่สวนพยานอีก 20 ปาก โดยวันนี้จะเป็นการไต่สวนพยานที่เป็นกลุ่มแพทย์ พยาบาล จำนวน 5 ปาก เช่นพยาบาลในสถานพยาบาลเรือนจำพิเศษกรุงเทพ ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ โรงพยาบาลตำรวจ ในจำนวนนี้มี พญ.รวมทิพย์ สุภานันท์ แพทย์ประจำโรงพยาบาลตำรวจ และ นพ.ณัฐพร แพทย์ประจำโรงพยาบาลราชทัณฑ์ รวมถึงพยาบาลประจำสถานพยาบาลราชทัณฑ์ 1 คน
นัดนี้มี ป.ป.ช. ในฐานะโจทก์ มีนายสุรพงษ์ อินทรถาวร รองเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. มาพร้อมกับเอกสารใส่ในกระเป๋าลาก เพื่อเข้าชี้แจงต่อศาล
ขณะที่ นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความของนายทักษิณ กล่าวว่า ประวัติการรักษาต่างประเทศเป็นข้อมูลเจ็บป่วยถือเป็นความลับ เป็นข้อมูลที่ได้รับความคุ้มครอง และนายทักษิณสงวนสิทธิ แต่เป็นประเด็นที่ศาลอยากรู้ว่าเจ็บป่วยจริงหรือไม่ หรือเป็นการอ้างเลื่อนลอยตนจึงได้เตรียมประวัติการรักษาต่างประเทศเสนอต่อศาลด้วย นอกเหนือจากประวัติการรักษาของราชทัณฑ์ เพราะไม่มั่นใจว่าราชทัณฑ์เตรียมเอกสารประวัติการรักษาสมบูรณ์หรือไม่ และเพื่อไม่ให้เกิดความเคลือบแคลงสงสัย ทั้งนี้ได้เตรียมบัญชีพยานไว้ 4 ปาก แต่ยังไม่ทราบว่าศาลจะอนุญาตหรือไม่
ด้าน นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม หัวหน้าพรรคไทยภักดี เดินทางมายังศาลฎีกา เพื่อเข้าร่วมรับฟังการไต่สวน โดยระบุว่า ตนติดตามคดีนี้มาระยะหนึ่งและเห็นว่าเป็นคดีที่มีความเกี่ยวข้องกับกระบวนการทางการแพทย์ จึงต้องการเข้ามาฟังข้อเท็จจริงและกระบวนการพิจารณาของศาลด้วยตนเอง
นพ.วรงค์ เปิดเผยว่า ได้ศึกษารายละเอียดคดีในหลายประเด็น โดยเฉพาะการอ้างใช้มาตรา 55 ของ พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ ซึ่งระบุว่าต้องให้ผู้ต้องขัง “พบแพทย์โดยเร็ว” ขัดแย้งกับกฎกระทรวงที่ให้ส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาภายนอกทันทีหากมีอาการป่วย ตนจึงเห็นว่าไม่สามารถใช้กฎกระทรวงเพื่ออ้างการส่งตัวไปรักษาในกรณีนี้ได้
นอกจากนี้ นพ.วรงค์ ยังระบุว่า ได้รับข้อมูลที่เชื่อถือได้เมื่อสองวันก่อนว่าเคยมีความพยายามแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมในคดีนี้ โดยข้อมูลดังกล่าวมีผู้หวังดีนำมาให้เพื่อให้เขานำเสนอเพื่อสกัดกระบวนการแทรกแซง ซึ่งขณะนี้ทราบว่าเจ้าหน้าที่ภายในกระบวนการยุติธรรมได้เริ่มตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว
“ผมเชื่อว่าคนส่วนใหญ่ในกระบวนการยุติธรรมทำงานเพื่อชาติบ้านเมือง แต่มีเพียงไม่กี่คนที่อาจมีความสัมพันธ์กับนักการเมือง แล้วทำให้กระบวนการยุติธรรมเสียหาย” นพ.วรงค์ กล่าว พร้อมย้ำว่าต้องการให้ประชาชนได้รับข้อมูลอย่างโปร่งใส และขอบคุณศาลฎีกาที่เปิดโอกาสให้สื่อมวลชนเข้าไปฟังการไต่สวน
ด้านความเคลื่อนไหวในวันนี้ยังพบว่า สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในฐานะโจทก์ ได้นำโดยนายสุรพงษ์ อินทรถาวร รองเลขาธิการฯ ป.ป.ช. เดินทางมาศาลพร้อมกระเป๋าเอกสารสำหรับการชี้แจงต่อศาล โดยไม่ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน และรีบเดินเข้าห้องพิจารณาคดีทันที
ทั้งนี้ การไต่สวนครั้งนี้ถูกจับตามองอย่างมาก เนื่องจากเป็นหนึ่งในคดีที่สังคมให้ความสนใจและอาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมของประเทศ
ทั้งนี้ การไต่สวนครั้งนี้ถูกจับตามองอย่างมาก เนื่องจากเป็นหนึ่งในคดีที่สังคมให้ความสนใจและอาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมของประเทศ
นพ.วรงค์ เปิดเผยว่า ได้ศึกษารายละเอียดคดีในหลายประเด็น โดยเฉพาะการอ้างใช้มาตรา 55 ของ พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ ซึ่งระบุว่าต้องให้ผู้ต้องขัง “พบแพทย์โดยเร็ว” ขัดแย้งกับกฎกระทรวงที่ให้ส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาภายนอกทันทีหากมีอาการป่วย ตนจึงเห็นว่าไม่สามารถใช้กฎกระทรวงเพื่ออ้างการส่งตัวไปรักษาในกรณีนี้ได้
นอกจากนี้ นพ.วรงค์ ยังระบุว่า ได้รับข้อมูลที่เชื่อถือได้เมื่อสองวันก่อนว่าเคยมีความพยายามแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมในคดีนี้ โดยข้อมูลดังกล่าวมีผู้หวังดีนำมาให้เพื่อให้เขานำเสนอเพื่อสกัดกระบวนการแทรกแซง ซึ่งขณะนี้ทราบว่าเจ้าหน้าที่ภายในกระบวนการยุติธรรมได้เริ่มตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว
“ผมเชื่อว่าคนส่วนใหญ่ในกระบวนการยุติธรรมทำงานเพื่อชาติบ้านเมือง แต่มีเพียงไม่กี่คนที่อาจมีความสัมพันธ์กับนักการเมือง แล้วทำให้กระบวนการยุติธรรมเสียหาย” นพ.วรงค์ กล่าว พร้อมย้ำว่าต้องการให้ประชาชนได้รับข้อมูลอย่างโปร่งใส และขอบคุณศาลฎีกาที่เปิดโอกาสให้สื่อมวลชนเข้าไปฟังการไต่สวน
ด้านความเคลื่อนไหวในวันนี้ยังพบว่า สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในฐานะโจทก์ ได้นำโดยนายสุรพงษ์ อินทรถาวร รองเลขาธิการฯ ป.ป.ช. เดินทางมาศาลพร้อมกระเป๋าเอกสารสำหรับการชี้แจงต่อศาล โดยไม่ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน และรีบเดินเข้าห้องพิจารณาคดีทันที
ทั้งนี้ การไต่สวนครั้งนี้ถูกจับตามองอย่างมาก เนื่องจากเป็นหนึ่งในคดีที่สังคมให้ความสนใจและอาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมของประเทศ
ทั้งนี้ การไต่สวนครั้งนี้ถูกจับตามองอย่างมาก เนื่องจากเป็นหนึ่งในคดีที่สังคมให้ความสนใจและอาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมของประเทศ